แนวทางการบำบัดน้ำมันปนเปื้อนพื้นที่ชายฝั่ง (Shoreline Treatment)
รองศาสตราจารย์ ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล (pisut.p@chula.ac.th)
ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดยทั่วไป การบำบัดน้ำมันปนเปื้อนพื้นที่ชายฝั่ง (Shoreline Treatment) มักจะเป็นขั้นตอนที่ใช้ระยะเวลายาวนานที่สุด รวมไปถึงมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับรูปแบบการดำเนินการอื่นๆ ดังนั้น จากเหตุการณ์ที่น้ำมันรั่วไหลเคลื่อนที่เข้าฝั่งบริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด กินพื้นที่ยาว 400-500 เมตร กว้าง 30-40 เมตรนั้น ผู้เขียน และคณะนิสิตระดับปริญญาโท – เอก ซึ่งทำวิจัยเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกายภาพและเคมี (Physico–chemical treatment processes) ในการบำบัดและกำจัดมลพิษน้ำมัน จึงขอให้ข้อมูลทางทฤษฏี และสรุปข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวข้องกับการบำบัดน้ำมันปนเปื้อนพื้นที่ชายฝั่ง โดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการจัดการและแก้ไขปัญหาน้ำมันรั่วไหลลงสู่ทะเล
รูปแบบดำเนินการเพื่อรับมือสถานการณ์ (Operational response strategies)
เราอาจกล่าวได้ว่า “ชายฝั่งจะเป็นทุนลอยน้ำขั้นสุดท้าย (Shoreline is the Final boom)” เมื่อการประยุกต์ใช้แนวทางการจัดการน้ำมันรั่วไหลในขั้นตอนต่างๆ ไม่เหมาะสมในทางปฏิบัติ (Impractical) หรือไม่ประสบความสำเร็จ (Unsuccessful) นอกจากนี้ เมื่อไรก็ตามที่น้ำมันเคลื่อนที่เข้าสู่ชายฝั่ง จะมีปัจจัยมากมายที่ต้องคำนึงถึงและให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม การดำรงชีวิตและกิจกรรมของมนุษย์ ความปลอดภัย และแนวทางการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในลักษณะอย่างไรในเฟสน้ำ รูปแบบดำเนินการเพื่อรับมือสถานการณ์ (Operational response strategies) ที่เหมาะสมควรเป็นไปตามขั้นตอน ดังนี้
- การควบคุมหรือจำกัดน้ำมันที่ หรือรอบๆ แหล่งกำเนิด (Control at / near source) เป็นวัตถุประสงค์ขั้นต้นของการจัดการปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันคือ การลดขนาดของพื้นที่ที่ได้ผลกระทบและลดภาวะเสี่ยงภัยของทรัพยากรธรรมชาติ ตามหลักการแล้ววิธีนี้สามารถประสบผลสำเร็จได้โดยการกักเก็บ การนำน้ำมันที่ปนเปื้อนกลับคืนมา และการกำจัดน้ำมันที่ปนเปื้อนในน้ำให้ใกล้กับแหล่งกำเนิดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
- การควบคุม แยก และบำบัดบนพื้นน้ำ (Control / separation / treatment on water) เป็นกรณีที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อไม่สามารถควบคุมในพื้นที่หรือบริเวณใกล้เคียงจุดกำเนิดได้โดยตรง เนื่องจากเกิดปัญหาเรื่องความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาในพื้นที่ การลงมือปฏิบัติ และเรื่องของความปลอดภัย รวมถึงการเคลื่อนที่ของคราบน้ำมันเข้าสู่บริเวณชายฝั่ง ดังนั้นการควบคุมและดำเนินการบำบัดบนพื้นน้ำจึงถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันน้ำมันไม่ให้เคลื่อนที่ไปสู่ชายฝั่งที่เป็นพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งสามารถทำได้โดยการบำบัดน้ำ และการกำจัด (โดยใช้การเพิ่มกระจายตัว หรือการเผาทำลายน้ำมันที่ปนเปื้อน)
- การดำเนินการป้องกันชายฝั่ง และพื้นที่อ่อนไหว (Coastal and sensitive area protection strategy) เป็นกรณีจะเกิดขึ้นเมื่อ 2 วิธีข้างต้นไม่สามารถกักเก็บ นำน้ำมันที่ปนเปื้อนกลับคืนมา หรือการเผาทำลาย เนื่องจากเกิดจากปัญหา เรื่องความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาในพื้นที่ การลงมือปฏิบัติ และเรื่องของความปลอดภัย ดังนั้น วิธีการดำเนินการขั้นถัดไปคือ การป้องกันในพื้นที่หรือบริเวณใกล้เคียงชายฝั่ง เพื่อป้องกันบริเวณที่สำคัญและพื้นที่อ่อนไหวบริเวณชายฝั่งหรือบริเวณที่อยู่อาศัย ซึ่งวัตถุประสงค์ของแผนการป้องกันนี้คือ กักเก็บ นำน้ำมันที่ปนเปื้อนกลับคืนมา และเปลี่ยนเส้นทางการเคลื่อนที่ของน้ำมันที่ปนเปื้อนให้ออกจากบริเวณชายฝั่ง หรือการปรับเปลี่ยนทิศทางของน้ำมันให้เคลื่อนที่สู่แหล่งที่ไม่อ่อนไหวกับความเสี่ยง แม้กระทั่งพื้นที่ชายฝั่งที่สามารถควบคุมได้
- บำบัดน้ำมันปนเปื้อนพื้นที่ชายฝั่ง (Treat Oiled Shoreline) เป็นกรณีจะเกิดขึ้นได้เนื่องจากวิธีการ 3 วิธีกล่าวมาข้างต้น โดยเมื่อเราไม่สามารถควบคุมหรือป้องกันน้ำมันรั่วเคลื่อนที่เข้าสู่ชายฝั่งได้ กล่าวได้ว่าวิธีการขั้นสุดท้ายคือ การทำความสะอาดคราบน้ำมัน โดยทั่วไปได้ถูกออกแบบเพื่อเพิ่มการฟื้นฟูพื้นที่โดยธรรมชาติ หรือลดผลกระทบของน้ำมันที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตสัมผัสกับน้ำมัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการรั่วไหลของน้ำมันไปสู่ชายฝั่ง การทำความสะอาดชายฝั่งนั้นจะใช้ระยะเวลานาน และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูง
วิธีการเลือกใช้กระบวนการบำบัดพื้นที่บริเวณชายฝั่ง (Shoreline treatment decision process)
เทคนิคการประเมินการบำบัดพื้นที่ปนเปื้อนบริเวณชายฝั่ง (The Shoreline Cleanup Assessment Technique)หรือชื่อย่อๆว่า SCAT เป็นเทคนิคที่อาศัยการสำรวจอย่างเป็นระบบและมีการเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของน้ำมัน รวมไปถึงลักษณะพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนซึ่งเทคนิคนี้นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางและมีการปรับใช้ที่แม่น้ำและบริเวณแถบขั้วโลก โดยหน่วยงานที่ใช้วิธี SCAT นี้จะประกอบด้วยตัวแทนจากหลายองค์กรหรือเจ้าของพื้นที่ จะมีการวางแผนขั้นตอนไว้เพื่อเพิ่มอัตราการฟื้นฟูพื้นที่ที่ทำการบำบัด โดยจะมีการสำรวจข้อมูลต่างๆ อาทิเช่น
- บริเวณที่ปนเปื้อนน้ำมันว่าอยู่ใกล้บริเวณชายฝั่ง ทะเลสาบหรือแม่น้ำหรือไม่
- ลักษณะทางภูมิประเทศของชายฝั่งที่ปนเปื้อนน้ำมัน
- ลักษณะการปนเปื้อนและปริมาณน้ำมันแต่ละจุด
- ระดับของชั้นน้ำมันอยู่บริเวณผิวน้ำหรือการซึมเข้าไปเกาะติดกับผิวอื่นๆ
- ความสามารถในการจัดการน้ำมันออกจากสิ่งแวดล้อม
- ปริมาณน้ำมันที่คาดว่าจะคงเหลืออยู่ในสิ่งแวดล้อม
จากนั้นจะพิจารณาเลือกกระบวนการที่จะนำมาบำบัดพื้นที่ปนเปื้อนโดยอ้างอิงตามเกณฑ์ต่อไปนี้
- ระดับต่ำสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ(As Low As Reasonably Practical; ALARP) คือ ให้เหลือความเข้มข้นของน้ำมันที่ปนเปื้อนอยู่ในระดับความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- ผลประโยชน์สุทธิด้านสิ่งแวดล้อม(Net Environmental Benefit; NEB) หลักการคือ ประเมินผลประโยชน์ที่ได้จากการดำเนินการในการบำบัดหลายๆแบบ ทั้งผลที่ได้ เช่น ปริมาณน้ำมันที่เหลืออยู่ แม้ว่าขั้นตอนการดำเนินการบางอย่างอาจสามารถบำบัดน้ำมันที่ปนเปื้อนได้ดี เหลือปริมาณน้อยลง แต่ส่งผลกระทบหรือไปทำลายพื้นที่ส่วนอื่นๆ ก็จะพิจารณาในส่วนนี้ รวมถึงผลกระทบสำหรับน้ำมันที่ยังไม่ถูกบำบัดว่าจะส่งผลต่อกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตในพื้นที่ปนเปื้อน และมนุษย์อย่างไร
- การลดของเสียให้เหลือน้อยที่สุด (Waste Minimization) เนื่องจากมีบทบาทสำคัญมากกับพื้นที่ที่ควบคุมได้ โดยจะช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมา เช่น ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมหรือการปล่อยคาร์บอน ซึ่งในส่วนนี้การบำบัดน้ำมันที่ปนเปื้อนภายในบริเวณชายฝั่งจะเหมาะสมกว่า
ในทางปฏิบัติ การเลือกการบำบัดที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับประเภทของชายฝั่ง อีกทั้งลักษณะและปริมาณของน้ำมันที่ปนเปื้อน โดยใช้กลยุทธ์ในการบำบัดที่มีพื้นฐานเหมือนกับการบำบัดพื้นที่ปนเปื้อนอื่นๆ ซึ่งการพิจารณากระบวนการบำบัดที่เหมาะสมจะพิจารณาจากผลประโยชน์สุทธิด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ แผนการบำบัดพื้นที่ปนเปื้อนบริเวณชายฝั่งสามารถแยกได้มากกว่า 1 แผนการดำเนินการ โดยแต่ละแผนการดำเนินการจะมีกระบวนการบำบัดและผลลัพท์ที่ได้ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ในตอนเริ่มต้นควรจะดูว่าน้ำมันนั้นสามารถแยกออกได้ง่ายหรือสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายหรือไม่ จากนั้นขั้นต่อไปควรจะใช้ระบบบำบัดอย่างไร ซึ่งในแผนการดำเนินการนี้อาจจะใช้การบำบัดโดยธรรมชาติ เช่น จากคลื่นหรือการย่อยสลายทางธรรมชาติ เป็นต้น และจำเป็นต้องมีการเฝ้าติดตามการลดลงของปริมาณน้ำมันที่ปนเปื้อน
เนื่องจากการสำรวจแบบใช้วิธีการประเมินการบำบัดพื้นที่ปนเปื้อนบริเวณชายฝั่ง (SCAT) จะเป็นการให้ข้อมูลพื้นฐานเพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าจะใช้การบำบัดแบบไหนหรืออาจะไม่ต้องมีการบำบัดเลยก็ได้ ซึ่งถ้าผลการสำรวจออกมาดี ปริมาณน้ำมันที่ปนเปื้อนอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ พื้นที่นั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการบำบัด แต่ถ้ายังคงมีน้ำมันปนเปื้อนที่คงเหลืออยู่หรือยังไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ พื้นที่นั้นก็จำเป็นต้องมีการบำบัดเพื่อให้ผ่านมาตรฐานที่กำหนดไว้ โดยจะมีทีมดำเนินการและทีมตรวจสอบ ซึ่งเมื่อทีมดำเนินการเสร็จขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ทีมตรวจสอบก็จะมาตรวจสอบอีกครั้ง โดยเมื่ออนุมัติให้ผ่าน ทีมดำเนินการนั้นก็สามารถยกเลิกกระบวนการบำบัดได้ แต่บางครั้งอาจต้องมีการเพิ่มขั้นตอนอื่นๆขึ้นมา ถ้าหากทีมตรวจสอบพบว่าปริมาณน้ำมันที่ปนเปื้อนนั้นยังไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จะเห็นได้ว่าทีมตรวจสอบจะเป็นผู้อนุญาตให้ทีมดำเนินการ จัดการการดำเนินการในแต่ละขั้นตอน ซึ่งวิธีการรับมือกับปัญหาดังกล่าวสามารถพิจารณาได้จากแผนการรับมือสถานการณ์จากแหล่งกำเนิดสู่ช่ายฝั่งทะเล (source-to-shoreline) ดังที่ได้กล่าวถึงข้างต้น
ทางเลือกกระบวนการบำบัดพื้นที่บริเวณชายฝั่ง (Shoreline treatment option)
– การบำบัดและทำความสะอาดน้ำมันตามแนวชายฝั่งอาจก่อให้เกิดอันตรายที่ไม่สามารถยอมรับได้มากกว่าการปล่อยให้เกิดการฟื้นฟูโดยธรรมชาติ
– ไม่มีเทคนิคที่สามารถเร่งการบำบัดฟื้นฟูโดยธรรมชาติได้
– การประเมินความเสี่ยงที่พบว่ามีอันตรายต่อมนุษย์ที่เกิดจากน้ำมันโดยตรงหรือจากสภาวะแวดล้อม
– การฉีดล้างร่วมกับการควบคุมและการนำกลับ จะทำการฉีดน้ำล้างเพื่อทำให้น้ำมันไหลรวมกับเฟสน้ำที่ใช้ล้างเพื่อไป 1) ควบคุมน้ำมันที่ถูกชะล้างด้วยทุ่นลอยน้ำ (Boom) และนำกลับด้วยอุปกรณ์สกิมเมอร์ (Skimmer) หรือ 2) เคลื่อนย้ายไปยังบ่อพื้นที่กักเก็บ (Collection pond or area) และกำจัด โดยการใช้เครื่องสูบส่ง การดูดซับ หรืออุปกรณ์จำพวก Skimmer โดยทั่วไป การฉีดล้างแบบทั่วไปสามารถกำจัดน้ำมันที่มีความหนืดต่ำได้ (เป็นการฉีดล้างแบบธรรมดาด้วยแรงงานคน) แต่สำหรับน้ำมันที่มีความหนืดสูงจำเป็นต้องฉีดล้างด้วยแรงดันน้ำสูงและ/หรือใช้น้ำที่มีอุณหภูมิสูงเพื่อเคลื่อนย้ายน้ำมัน (การล้างด้วยแรงดันสูง หรือ spot washing นิยมใช้เพื่อล้างคราบน้ำมันจากสิ่งก่อสร้าง) นอกจากนี้ สาร Surface washing agent อาจมีความจำเป็นในการปลดปล่อย (Release) น้ำมันที่เกาะติดอยู่บนชายฝั่งหรือสิ่งก่อสร้าง โดยช่วงเวลาที่คลื่นต่ำ (Low tide) มักจะมีการสเปรย์สารดังกล่าวลงบนน้ำมัน และปล่อยให้เปียกหรือชุ่มให้นานที่สุด จากนั้นจึงทำการฉีดล้างด้วยวิธีการที่กล่าวถึงข้างต้น จากงานวิจัยที่ผ่านมา พบว่าสารดังกล่าวสามารถลดปริมาณน้ำมันได้เกาะติดตามพื้นผิว (หิน หรือพื้นผิวอื่นๆ) กว่า 90 – 95%
– การกำจัดด้วยแรงงานคนหรือเครื่องจักร ในทางปฏิบัติ การกำจัดด้วยแรงงานคน (Manual removal)เกี่ยวข้องกับการตักและกวาดชั้นผิวหน้าน้ำมัน (Thick surface oil) การประยุกต์ใช้ตัวดูดซับน้ำมัน (Sorbent) สำหรับดูดซับและการนำกลับของน้ำมัน และการตัดพืชบริเวณชายฝั่ง (Vegetable cutting) สำหรับการกำจัดด้วยเครื่องจักร (Mechanical removal) มักจะเป็นการใช้เครื่องมือที่ทำขึ้นสำหรับงานก่อสร้าง โดยมีเครื่องจักรเพียงไม่กี่ชนิดที่สร้างขึ้นสำหรับกำจัดน้ำมันแนวชายฝั่งโดยเฉพาะ การกำจัดด้วยเครื่องจักรใช้แรงงานคนน้อย และกำจัดได้อย่างรวดเร็ว แต่สร้างของเสียจากน้ำมัน (Oiled solid waste) มากกว่าการใช้แรงงานคนถึง 10 เท่า แต่ในทางปฏิบัติ เครื่องจักรประเภท Scraper, Front-end, และ Backhoes สามารถกำจัดได้ในขั้นตอนเดียว ในขณะที่อุปกรณ์ประเภท Grader และ Bulldozers สามารถแค่เคลื่อนย้ายของเสียดังกล่าวเพื่อไปกำจัดด้วยเครื่องมืออื่นต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีการแทรกซึมของน้ำมันลงในทรายและทับถมของตะกอน ซึ่งส่งผลทำให้เกิดของเสียปริมาณมากหรือใช้แรงงานคนจำนวนมาก ในการนี้ การดำเนินการกำจัดทางกายภาพ (Physical Removal) อาจไม่เหมาะสม ดังนั้น การบำบัดแบบภายในพื้นที่ (In-situ Treatment) อาจเป็นวิธีเหมาะสำหรับการใช้งานมากกว่าเมื่อน้ำมันเกิดการปนเปื้อนปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการบำบัดทางกายภาพเพียงวิธีใดวิธีหนึ่งที่สามารถตอบโจทย์ทั้ง 4 ข้อเหล่านี้ ได้แก่ ใช้พลังงานต่ำ รวดเร็ว ทำเพียงขั้นตอนเดียว และลดการเกิดของเสีย
– การกวนผสม (Mixing) หรือการเติมอากาศ (Aeration)
– การเคลื่อนย้ายตะกอนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง (Sediment relocation)
– การเผาไหม้ (Burning)
– การใช้สารเคมีช่วยเพิ่มการกระจายตัวของคราบน้ำมันหรือการทำความสะอาดชายฝั่ง (Surface washing agent or shoreline cleaners)
– การบำบัดในพื้นที่หรือการฟื้นฟูสภาพด้วยวิธีการทางชีวภาพ (Bioremediation)
ในการนี้ การกวนผสมน้ำมันที่ตกตะกอน (Mechanical mixing of oiled sediment) ให้เกิดความปั่นป่วน ไม่ว่าจะกรณีที่อยู่เหนือ Water line (Dry mixing) หรือกรณีใต้ Water line (Wet mixing) ทั้งสองกรณีมีจุดประสงค์เดียวกันเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้กับตะกอนในบริเวณแหล่งกำเนิด โดยการกวนผสมแบบแห้ง (Dry mixing) เหมาะสำหรับอนุภาคน้ำมันขนาดเล็ก มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความเร่งผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการบำบัดโดยใช้ธรรมชาติ (Accelerate weathering) และทำให้เกิดการย่อยสลาย ส่วนการกวนผสมแบบเปียก (Wet mixing) มีจุดประสงเพื่อทำให้น้ำมันถูกปล่อยจากชั้นตะกอน และสามารถทำให้นำกลับน้ำมันที่บริเวณผิวน้ำได้ นอกจากนี้ การใช้วิธีทางเคมีและทางชีวภาพในการฟื้นฟูสภาพนี้ มักเกี่ยวข้องกับการเติมสารเคมี (Agents) เพื่อช่วยให้กำจัดน้ำมันจากชายฝั่งได้สะดวกขึ้น หรือการเพิ่มอัตราการย่อยสลายโดยธรรมชาติของบริเวณพื้นที่ที่มีการปนเปื้อน ดังนั้น การเลือกใช้วิธีการบำบัดที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมีนั้น จึงควรได้รับคำปรึกษาและผ่านการให้ความคิดเห็นโดยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงอาจมีการควบคุมและตรวจสอบด้วยหน่วยงานภาครัฐอีกทางหนึ่งด้วย
- การฟื้นฟูโดยธรรมชาติ (Natural Recovery) แนวทางนี้เป็นการปล่อยให้น้ำมันถูกกำจัดและสลายตัวโดยกระบวนการทางธรรมชาติ เช่น ผลของคลื่นทะเลและการย่อยสลายทางชีวภาพ โดยไม่มีการแทรกแซง แนวทางนี้เหมาะสมที่จะเลือกใช้กรณีดังต่อไปนี้
- การกำจัดทางกายภาพ (Physical Removal) เกี่ยวข้องกับการนำกลับและการกำจัดน้ำมัน การกำจัดทางกายภาพมีหลายวิธีที่เกี่ยวข้อง อาทิ การฉีดล้างร่วมกับการควบคุมและการนำกลับ (Flushing or washing with containment and recovery) และการกำจัดด้วยแรงงานคนหรือเครื่องจักร (Manual or mechanical removal)
- การบำบัดภายในพื้นที่ที่เกิดการปนเปื้อน (In-situ treatment or Remediation) เป็นการบำบัดหรือฟื้นฟูสภาพ ณ พื้นที่ปนเปื้อน ซึ่งส่งผลต่อการเกิดของเสียที่ลดลง รวมไปถึงขั้นตอนการขนส่งและการกำจัด (Transfer and Disposal) ของเสียที่เกิดขึ้น ในทางปฏิบัติ วิธีการที่ใช้ในการบำบัดพื้นที่ที่เกิดการปนเปื้อนมีดังต่อไปนี้
การเลือกใช้กระบวนการฟื้นฟูขึ้นโดยขึ้นอยู่กับประเภทของชายฝั่ง (Treatment by shore type)
ลักษณะของชายฝั่ง (Shoreline) ถือเป็นปัจจัยแรกที่มีผลกระทบต่อลักษณะการเคลื่อนตัวของน้ำมันเข้าสู่ชายฝั่ง ซึ่งวิธีการจัดการปัญหาการฟื้นฟูชายฝั่งโดยทั่วไปนิยมการทำความสะอาดโดยใช้แรงงานคน แต่อย่างไรก็ตาม ในสภาพการทำงานจริงเราจำเป็นต้องเลือกกระบวนการให้มีความสอดคล้องกับประเภทของชายฝั่ง และลักษณะของน้ำมันที่ปนเปื้อน โดยตัวอย่างแนวทางการเลือกใช้ทางเลือกการบำบัดในกรณีที่เป็นหาดทราย (Sand beach) สามารถสรุปได้ดังตารางต่อไปนี้ [Oil spill science and Technology: Prevention, Response and Cleanup, 2011]
|
|
■ Preferred option □ Possibly applicable for small amount of oil
โดยจะเห็นได้ว่า สิ่งที่เป็นปัจจัยสำหรับการพิจารณาเลือกใช้วิธีการบำบัดที่เหมาะสมคือ ลักษณะของน้ำมันที่บำบัด รวมไปถึงสถานที่และตำแหน่งของน้ำมัน (บนพื้นผิว หรือภายในชั้นตะกอน) ซึ่งปัจจัยข้อหลังนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับการซึมผ่านของน้ำมันกล่าวคือ น้ำมัน (บนพื้นผิว) มักจะไม่สามารถซึมผ่านวัสดุบางชนิดได้ เช่น หินแข็ง หินชายหาด หรือโครงสร้างคอนกรีต แต่น้ำมันอีกประเภทจะสามารถซึมผ่านตะกอนชนิดหยาบ (Coarse sediment) หรืออาจถูกฝังกลบอยู่ในตะกอนที่มีการเคลื่อนที่ เช่น ทรายบริเวณชายหาด ตะกอนสะสมบริเวณแม่น้ำ หรือหาดเลน เป็นต้น นอกจากนี้พืชบริเวณพื้นที่ชายฝั่ง เช่น ป่าชายเลน ทุนดรา แนวพืชน้ำลักษณะคล้ายหญ้า และป่าพลุน้ำเค็ม ยังจัดเป็นพืชที่มีความอ่อนไหวต่อการฟื้นฟู และอาจก่อให้เกิดขยะที่จำเป็นต้องมีการจัดการที่เหมาะสมต่อไป
การก่อให้เกิดของเสีย (Waste Generation)
โดยทั่วไป การบำบัดน้ำมันที่รั่วออกมานั้นมักจะก่อให้เกิดขยะจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณน้ำมันที่รั่ว (Amount of spilled oil) และปริมาณของเสียที่เกิดขึ้น (Volume of waste) เนื่องจากปริมาณน้ำมันที่รั่วจำนวนมากก็อาจก่อให้เกิดปริมาณของเสียเพียงเล็กน้อย หรือในทางกลับกันปริมาณน้ำมันที่รั่วเพียงเล็กน้อยอาจจะก่อให้เกิดของเสียถึงปริมาณ 10 หรือ 20 เท่าของน้ำมันที่รั่วออกมาก็ได้ ซึ่งประเด็นข้างต้นจะขึ้นอยู่กับการเลือกใช้แนวทางดำเนินการ การควบคุมการทำงาน และความชัดเจนของระบบสั่งการโดยรวม ในทางปฏิบัติ ของเสียส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมักจะมาจากการทำความสะอาดชายฝั่ง (Shoreline cleanup) ซึ่งโดยปริมาณของเสียดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับวิธีบำบัดที่เลือกใช้
- การทำความสะอาดชายฝั่งด้วยการใช้เครื่องจักร (Mechanical cleanup ) เป็นเทคนิคที่รวดเร็วแต่ก็เป็นวิธีที่สร้างของเสียเป็น 10 เท่า เมื่อเทียบกับการกำจัดโดยคน (Manual removal) ดังนั้น การกำจัดด้วยแรงงานคน (manual removal techniques) จึงเป็นวิธีที่นิยมมากกว่า เนื่องจากเป็นวิธีที่ถือว่าทำให้เกิดขยะจากน้ำมันที่ปนเปื้อนน้อย
- In-situ techniques (เป็นเทคโนโลยีการฟื้นฟูโดยการบำบัดน้ำมันหรือสารเคมีที่ปนเปื้อนในพื้นที่โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายตัวกลางไปที่อื่น) เป็นเทคนิคที่ก่อให้เกิดของเสียจากน้ำมันน้อยที่สุด ซึ่งเทคนิคดังกล่าวจะประกอบด้วยการฟื้นฟูโดยธรรมชาติ การกวนผสม การเคลื่อนย้ายตะกอนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง การเผาไหม้ การใช้สารช่วยเพิ่มการกระจายตัว และการฟื้นคืนสภาพโดยใช้กระบวนการทางชีวภาพ ดังที่ได้กล่าวถึงข้างต้น โดย In-situ techniques มีความเหมาะสมเป็นอย่างมากในการใช้กับพื้นที่ที่ห่างไกล หรือมีข้อจำกัดในการจัดการกับของเสียที่เกิดขึ้น เพราะเป็นวิธีที่รวดเร็ว ต้องการวัสดุน้อย (Minimal resource requirement) ไม่ต้องใช้ยานพาหนะ (logistics support) แต่ถึงอย่างไรก็ตามการเลือกใช้วิธีในการจัดการต้องคำนึงถึง ประสิทธิภาพความเป็นไปได้ในการบำบัด ราคาและประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมประกอบไปด้วยอีกทางหนึ่ง
โดยสรุป เราอาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะประยุกต์ใช้แนวทางการบำบัดน้ำมันปนเปื้อนพื้นที่ชายฝั่ง (Shoreline Treatment) รูปแบบใด การพิจารณาถึงการนำกลับไปใช้ (Recovery) รวมไปถึงระบบบำบัดและจัดการกับของเสีย (Waste treatment and Management system) ที่เกิดขึ้นในเฟสต่างๆ (น้ำ อากาศ และของแข็ง) นับว่ามีความจำเป็นอย่างมากที่ทุกภาคส่วนควรให้ความสำคัญ นอกจากนี้ เรายังควรพิจารณาถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศน์ (Ecosystem) ในบริเวณโดยรอบอีกทางหนึ่งด้วย เพื่อรักษาสมดุลของธรรมชาติ รวมไปถึงเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ขอขอบคุณคณะนิสิตระดับปริญญาโท – เอก ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ร่วมมือในการหาข้อมูล และร่วมจัดทำบทความวิชาการ ได้แก่
นาย ธนากร อื้อมุกดากุล น.ส. ลักษิกา กองวิเชียร น.ส. ภัทรศิริ ฟักแก้ว
น.ส. อรภา ปรีชาวาท น.ส. นวพร ทาเพชร น.ส. ชมทิศา ชื่นแชม