ในโอกาสที่ทุกคนร่วมกันน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันล้นเกล้าฯ ของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงขอเสนอบทความนี้เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่านในฐานะที่ทรงมีพระราชปณิธานอันมั่นคงในการอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย ซึ่งหนึ่งในโครงการสำคัญที่สะท้อนถึงพระราชดำริอันล้ำลึกของพระองค์คือ “โขนดิจิทัล” ที่เกิดจากพระราชปรารภของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเล็งเห็นปัญหาเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายโขนในแสงไฟบนเวทีที่ไม่ได้แสดงความงามได้อย่างเต็มที่ตามที่ควรจะเป็น
พระราชปรารภนี้ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ในการออกแบบและผลิตชุดโขน ผ่านการใช้วิทยาการสมัยใหม่ ซึ่งได้เปิดแนวทางใหม่ในการอนุรักษ์ศิลปะการแสดงโขนให้คงอยู่และพัฒนาไปพร้อมกับยุคสมัย

จุดเริ่มต้นของโครงการ: ความฝันสู่ความจริง
ในปี พ.ศ. 2550 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้น้อมนำพระราชดำริของพระราชมารดาและให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์มรดกไทย ผ่านแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยพระราชทานแนวทางไปยังคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทรงมองเห็นศักยภาพในการนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการออกแบบตึก อาคาร สะพาน ถนน มาใช้ในการออกแบบชุดโขน
การนำพระราชดำริมาใช้จริงนั้นได้มอบหมายให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งในขณะนั้นมีอาจารย์ใหม่ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งจบการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์กราฟิกจากมหาวิทยาลัยโตเกียว คือ ดร.พิษณุ คนองชัยยศ ได้เข้ามารับผิดชอบในการนำโครงการนี้ไปสู่การปฏิบัติ ด้วยความร่วมมือจากนิสิตกว่า 40 ชีวิต โครงการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบเครื่องแต่งกายโขน (Khon Costume CAD System) จึงเกิดขึ้น
กระบวนการพัฒนา: การบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับศิลปวัฒนธรรม
การบุกเบิก “โขนดิจิทัล” ถือเป็นการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาช่วยถ่ายทอดความงามและลวดลายของโขนให้สมบูรณ์แบบ โดยมีการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อการสร้างชุดโขนที่เหมาะสมกับการแสดงในยุคปัจจุบัน:
- การถอดรหัส “ลายครู” สู่ดิจิทัล: ทีมวิจัยได้ดำเนินการสแกน “ลายกระดาษครูช่าง” จากสำนักช่างสิบหมู่ด้วยความละเอียดสูง เพื่อรักษารายละเอียดอันเป็นเอกลักษณ์ของช่างแต่ละท่านในโลกดิจิทัล รวมทั้งใช้เครื่องสแกน 3 มิติในการเก็บรายละเอียดของ “หัวโขนชั้นครู” ที่ถือเป็นศิลปะที่ทรงคุณค่า
- การสร้าง “หุ่นทิพย์” สำหรับตัวละครโขน: หุ่นจำลอง 3 มิติ (3D Avatars) ของตัวละครหลักทั้ง 4 ประเภท คือ พระ, นาง, ยักษ์, และลิง ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็น “หุ่นลองเสื้อดิจิทัล” ที่นักออกแบบสามารถทดสอบการสวมใส่เครื่องแต่งกายและตรวจสอบความสง่างามได้อย่างแม่นยำ
- การบันทึก “ท่ารำแม่บท” ด้วยเทคโนโลยี Motion Capture: เพื่อให้ได้ข้อมูลการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องตามจารีตโขน ทีมวิจัยใช้เทคโนโลยี Motion Capture ในการบันทึกท่ารำจากครูโขนชั้นครู ซึ่งช่วยให้การออกแบบชุดไม่ขัดขวางการแสดงจริง
- การสร้าง “ห้องเสื้อดิจิทัล”: นักออกแบบสามารถทดลองสวมชุดบนหุ่นจำลอง และทดสอบผลของแสงไฟบนเวทีที่มีต่อสีสันและวัสดุของเครื่องแต่งกายได้ ซึ่งเป็นการตอบโจทย์พระราชปรารภได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ผลสำเร็จและความยั่งยืน
โครงการนี้ไม่เพียงแต่สร้างความประทับใจในแง่ของการอนุรักษ์ศิลปะไทย แต่ยังสามารถสร้าง “มาตรฐานอ้างอิงดิจิทัล” เพื่อให้เครื่องแต่งกายโขนยังคงความสวยงามและไม่ผิดเพี้ยนไปตามกาลเวลา โดยสามารถลดเวลาในการออกแบบได้ถึงกึ่งหนึ่ง และลดต้นทุนในการผลิตได้อีกหนึ่งในสาม
ผลจากโครงการนี้ได้เปิดมุมมองใหม่ ๆ ในการต่อยอดการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรักษาและเผยแพร่มรดกไทยในยุคดิจิทัล เช่น การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการสร้างลวดลายใหม่ ๆ จากต้นแบบดั้งเดิม หรือการสร้าง “พิพิธภัณฑ์โขนเสมือนจริง” (Virtual Reality) ที่จะทำให้ผู้คนจากทั่วโลกสามารถเข้าชมความงามของเครื่องแต่งกายโขนได้อย่างใกล้ชิด
การเฉลิมพระเกียรติและการส่งมอบมรดก
ในวันนี้ การที่โครงการ “โขนดิจิทัล” ได้กลายเป็นหนึ่งในโครงการอนุรักษ์มรดกไทยที่สำคัญ เป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงทุ่มเทเพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและส่งเสริมความงามของศิลปะไทยให้ยั่งยืน ผ่านการบูรณาการเทคโนโลยีและศิลปวัฒนธรรม
ข้าพระพุทธเจ้าในฐานะคณะทำงานจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอน้อมรำลึกและถวายความอาลัยอย่างสุดซึ้งต่อพระองค์ท่าน ผู้ทรงอุทิศพระวรกายในการประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทยทั้งปวง
#ChulaEngineering #วิศวจุฬา #Chula #112ปีวิศวจุฬา #โขน #โขนดิจิทัล #มรดกไทย #จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย #วิศวะจุฬา #ตามรอยพระราชดำริ #SoftPower #DigitalHeritage

English