คณะอนุกรรมการรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ (TABEE) สภาวิศวกร ได้รับรองหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ และหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมโลหการและวัสดุ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่ามีการจัดการมาตรฐานคุณภาพการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ตามเกณฑ์ผลลัพธ์ (Outcome based) ในปีการศึกษา 2567 – 2569

คณะอนุกรรมการรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ (Thailand Accreditation Body for Engineering Education: TABEE) สภาวิศวกร ได้รับรองหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ และหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมโลหการและวัสดุ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่ามีการจัดการมาตรฐานคุณภาพการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ตามเกณฑ์ผลลัพธ์ (Outcome based) ในปีการศึกษา 2567 – 2569
.
TABEE ได้รับการรับรองเข้าเป็นสมาชิกชั่วคราว (Provisional member) ของข้อตกลง Washington Accord เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2562 และอยู่ระหว่างกระบวนการสมัครสมาชิกระดับร่วมลงนาม (Signatory member)
.
Washington Accord เป็นข้อตกลงร่วมกันระดับสากลระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบการรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษาหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ เช่น ABET (สหรัฐอเมริกา) ECUK (สหราชอาณาจักร) JABEE (ญี่ปุ่น) ABEEK (เกาหลี) ฯลฯ เพื่อเป็นกรอบคุณภาพการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์สำหรับการเคลื่อนย้ายวิศวกรในระดับนานาชาติ
.
เมื่อหน่วยงานที่ได้รับการตอบรับในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกในข้อตกลง Washington Accord แล้ว ทำให้หลักสูตรที่ได้รับการรับรองเป็นที่ยอมรับว่าหลักสูตรนั้นมีมาตรฐานคุณภาพการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์และคุณภาพการศึกษาจากประเทศสมาชิกกลุ่ม Washington Accord และผู้สำเร็จการศึกษามีความรู้ความสามารถทางวิศวกรรมที่สอดคล้องกับข้อกำหนดของการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมข้ามชาติ

งาน Chula – MIT LGO Open House จุฬาฯ เปิดบ้านแนะนำหลักสูตรปริญญาโทความร่วมมือระดับนานาชาติ จุฬาฯ กับ MIT LGO โดย คณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ

งาน Chula – MIT LGO Open House
จุฬาฯ เปิดบ้านแนะนำหลักสูตรปริญญาโทความร่วมมือระดับนานาชาติ จุฬาฯ กับ MIT LGO
โดย คณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ
คณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ และ MIT LGO (MIT Leaders for Global Operations) โดยการสนับสนุนของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จัดงาน Chula MIT – LGO Open House เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ณ ห้อง Yulania IV-VI ชั้น 9 โรงแรม Waldorf Astoria Bangkok โดยมี ศ. ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ เป็นผู้กล่าวต้อนรับ คุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้กล่าวเปิดงาน จากนั้นเป็นการแนะนําหลักสูตร Chula – MIT LGO โดย Prof. Thomas Roemer, Executive Director, Leaders for Global Operations Program กล่าวแนะนําหลักสูตร และดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความสําคัญของความร่วมมือกับภาคธุรกิจ โดยผู้บริหารคณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้แก่ รศ. ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดี รศ. ดร.เสวกชัย ตั้งอร่ามวงศ์ รองคณบดี ผศ. ดร.ชาญณรงค์ บาลมงคล ผู้ช่วยคณบดี และ รศ. ดร.จรัสรัก วิภาวกิจ ผู้ช่วยคณบดี เข้าร่วมงาน
.
งาน Chula MIT – LGO Open House จัดขึ้นโดยมีมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลหลักสูตร Chula MIT – LGO ซึ่งเป็นหลักสูตรปริญญาโทที่มุ่งพัฒนาผู้นําระดับโลกในด้านวิศวกรรมและการจัดการ โดยความร่วมมือระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับ MIT Leaders for Global Operations (MIT LGO) ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนําที่มีชื่อเสียงระดับโลก รวมถึงโอกาสในการร่วมมือกับภาคธุรกิจ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรและสร้างโอกาสในการสร้างนวัตกรรมที่สามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต
.
เปิดรับสมัครสำหรับภาคการศึกษาต้น ปีการศึกษา 2568 ติดตามรายละเอียดได้เร็ว ๆ นี้

จุฬาฯ โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมกับ กฟผ. ถอดบทเรียนจากสเปน–โปรตุเกส 2025 สู่แนวทางออกแบบระบบพลังงานอย่างสมดุล รับมือโลกที่ไม่แน่นอน

“ไฟดับครั้งใหญ่ในยุโรป: จุดเปลี่ยนของความมั่นคงพลังงาน”
.
จุฬาฯ โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมกับ กฟผ. ถอดบทเรียนจากสเปน–โปรตุเกส 2025 สู่แนวทางออกแบบระบบพลังงานอย่างสมดุล รับมือโลกที่ไม่แน่นอน
.
.
ภายหลังเหตุการณ์ไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในประเทศสเปนและโปรตุเกสช่วงต้นปี 2025 ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนหลายล้านคน ธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และระบบโครงข่ายไฟฟ้าทั่วคาบสมุทรไอบีเรีย กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สะท้อนความเปราะบางของระบบพลังงานยุโรปภายใต้สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ดังนั้น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอง จึงจำเป็นต้องหันกลับมาทบทวนระบบโครงข่ายไฟฟ้าของตนเองอย่างจริงจัง
.
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน สถาบันวิจัยพลังงาน ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จึงได้จัดการบรรยาย “ไฟดับครั้งใหญ่ในยุโรป: บทเรียนจากสเปน–โปรตุเกส 2025 และแนวทางรับมือและออกแบบระบบพลังงานอย่างสมดุล” เพื่อร่วมกันถอดบทเรียนเชิงลึกจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เพื่อประเมินความเปราะบางของระบบพลังงานในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเชื่อมโยงผลกระทบจาก Climate Anomaly กับความมั่นคงของระบบโครงข่ายไฟฟ้า สู่แนวทางการออกแบบระบบพลังงานที่ยืดหยุ่น สมดุลยิ่งขึ้นสำหรับอนาคต ณ ห้องทรูแลป คณะวิศวฯ จุฬาฯ โดยมี รศ. ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ กล่าวเปิดงาน และได้รับเกียรติจาก คุณธวัชชัย สำราญวานิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดร.พิมพ์สุภา เกาะช้าง นักวิจัยชำนาญการ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ รศ. ดร.สุรชัย ชัยทัศนีย์ ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวฯ จุฬาฯ เป็นวิทยากร และ ศ. ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล รองคณบดี และผู้อำนวยการสถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน คณะวิศวฯ จุฬาฯ เป็นผู้ดำเนินรายการ
.
รศ. ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ประธานจัดงาน กล่าวถึงเป้าหมายของการจัดงานในครั้งนี้ไม่ใช่แค่ฟัง แต่เปลี่ยน มุ่งหวังให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งผู้กำหนดนโยบาย วิศวกร นักวิจัย และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันออกแบบระบบพลังงานไทยให้สามารถรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอนได้อย่างสมดุล ยั่งยืน และมีศักยภาพในการฟื้นตัวอย่างแท้จริง
.
ศ. ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล รองคณบดี และผู้อำนวยการสถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน คณะวิศวฯ จุฬาฯ กล่าวว่า การสัมมนาวิชาการภายใต้หัวข้อ “ไฟดับครั้งใหญ่ในยุโรป: บทเรียนจากสเปน–โปรตุเกส 2025 และแนวทางรับมือและออกแบบระบบพลังงานอย่างสมดุล ที่จัดขึ้นนี้เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริง โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการ คือ
1. ถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ไฟดับในสเปน–โปรตุเกสปี 2025 ทั้งในมิติเทคนิคและปรากฏการณ์ภูมิอากาศ
2. ประเมินความเปราะบางของระบบพลังงานในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
3. เสนอแนวทางออกแบบระบบพลังงานที่มีความยืดหยุ่นและฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ส่งเสริมความตระหนักรู้ในระดับผู้กำหนดนโยบาย วิศวกร นักวิจัย และสาธารณชน เพื่อเตรียมพร้อมและพัฒนานโยบายเชิงป้องกันในระดับประเทศและภูมิภาค
.
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ได้รับความรู้เชิงลึกจากกรณีศึกษาจริง พร้อมแนวทางการออกแบบระบบพลังงานที่สามารถฟื้นตัวได้ในภาวะวิกฤต และยังสามารถนำบทเรียนไปปรับใช้ในบริบทของไทยและภูมิภาคอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ – บทเรียนจากเหตุการณ์จริง: ปัจจัยเทคนิค และภูมิอากาศสุดขั้ว
.
จากการวิเคราะห์เชิงเทคนิค เหตุการณ์ไฟดับในคาบสมุทรไอบีเรียครั้งนี้เกิดจากความซับซ้อนของหลายปัจจัย ทั้งการขาดความยืดหยุ่นในโครงข่ายไฟฟ้า การพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนในสัดส่วนสูง โดยไม่มีระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ที่เพียงพอ รวมถึงสภาพอากาศสุดขั้ว (Climate Anomaly) ที่ก่อให้เกิดคลื่นความร้อนและลมแรงผิดปกติ ส่งผลให้สายส่งไฟฟ้าเสียหายเป็นวงกว้างในเวลาอันสั้น เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของระบบพลังงานยุคใหม่ ที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากทั้งธรรมชาติและโครงสร้างระบบที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน
.
– ระบบพลังงานกับสภาพภูมิอากาศ: เมื่อ Climate Resilience กลายเป็นเรื่องจำเป็น ภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นในทุกภูมิภาค ระบบพลังงานไม่อาจพึ่งพาความเสถียรแบบเดิมได้อีกต่อไป ความสามารถในการฟื้นตัว (resilience) และความยืดหยุ่นของโครงข่ายจึงเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบระบบพลังงานในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่กำลังเร่งเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างไทยและอาเซียน
.
แนวทางรับมือและออกแบบระบบพลังงานแห่งอนาคต: สมดุล – ยืดหยุ่น – ฟื้นตัวได้
.
จากบทเรียนของยุโรปชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการลงทุนเชิงระบบ เช่น การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Modernization) ให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์สุดขั้ว การพัฒนาและกระจายการใช้ระบบกักเก็บพลังงาน การจัดสรรสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างมีแผน ควบคู่กับพลังงานสำรอง และการสร้างระบบเตือนภัยและฟื้นฟูระบบอย่างรวดเร็วเมื่อเกิด blackout
.
การถอดบทเรียนครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานหลักของไทยร่วมแลกเปลี่ยน ทั้งในมิติวิชาการ วิศวกรรม และนโยบาย โดย
– คุณธวัชชัย สำราญวานิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่มีระบบไฟฟ้ามั่นคง เพราะว่าการวางแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศไทยครอบคลุมถึงกำลังผลิตไฟฟ้าและระบบส่งไฟฟ้าที่เหมาะสมเพียงพอกับความต้องการไฟฟ้าในรายภูมิภาค ที่ผ่านมา กฟผ. ได้มีการพัฒนาโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าระดับแรงดัน 500 เควี ให้เป็นแกนหลักในการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าระหว่างภูมิภาค เพื่อเสริมความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าของประเทศ ขณะที่ด้านวางแผนด้านปฏิบัติการ (Operation Planning) ในการผลิตและส่งไฟฟ้า กฟผ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการควบคุมระบบไฟฟ้า เพื่อรักษาระดับของการผลิตและส่งจ่ายไฟฟ้าให้มีความเพียงพอกับความต้องการใช้ไฟฟ้า รวมถึงพิจารณาความมั่นคงระบบไฟฟ้ารองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน โดยการเตรียมความพร้อมกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองพร้อมจ่ายใน 3 ระดับ ประกอบด้วย
1) กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองพร้อมจ่ายทันที (Spinning Reserve) สามารถสั่งเพิ่มการผลิตและส่งจ่ายไฟฟ้าได้ทันทีที่ระบบมีความต้องการ ปัจจุบันกำหนดให้มีค่าไม่น้อยกว่า 800 เมกะวัตต์ ทุกช่วงเวลา (ปริมาณเท่ากับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในระบบ)
2) กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองพร้อมจ่าย 5 นาที (Five Minutes Response Reserve) สามารถตอบสนองได้ภายในเวลา 5 นาที ในช่วงที่ระบบไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงความต้องการใช้ไฟฟ้า หรือเหตุการณ์ที่ความถี่ของระบบไฟฟ้าลดลงไปจากค่าปกติ ปัจจุบันกำหนดให้มีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองอย่างน้อย 750 เมกะวัตต์
3) กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองพร้อมจ่าย (Operational Reserve) สามารถสั่งเดินเครื่องเพิ่มหรือขนานเครื่องเพิ่มการผลิตจากโรงไฟฟ้าที่มีความพร้อมเริ่มเดินเครื่อง ให้ส่งจ่ายไฟฟ้าหากระบบมีความต้องการ เพื่อรองรับหากเกิดเหตุการณ์ขัดข้อง ป้องกันปัญหาไฟดับ
.
ปัจจัยแนวโน้มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลกและเหตุการณ์ไฟฟ้าดับที่ยุโรปชี้ให้เห็นว่า เมื่อระบบไฟฟ้ามีผลของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นตามทิศทางการมุ่งสู่ในเรื่องพลังงานสีเขียว ดังนั้น ต้องพัฒนาระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคงเพิ่มทั้งในด้านโรงไฟฟ้าหลัก ในการควบคุมการส่งจ่ายไฟฟ้าในภูมิภาคและโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ เพื่อสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และบริหารจัดการกำลังผลิตไฟฟ้าส่วนเกิน โดยนำพลังงานไฟฟ้ากลับมาใช้ในช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าสูง รวมถึงเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (BESS) ที่มี Response Time เร็ว และการใช้อุปกรณ์เสริมแรงดันด้วย Reactive Power เช่น FACTS Device เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับบริเวณกว้างในประเทศไทย ทั้งนี้ กฟผ. ในฐานะที่ดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าจะวางแผนและดูแลระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคงอย่างต่อเนื่องต่อไป
.
– รศ. ดร.สุรชัย ชัยทัศนีย์ ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวในมุมมองเชิงวิชาการ เหตุการณ์ไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในสเปนและโปรตุเกสเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 ได้สร้างบทเรียนสำคัญให้กับระบบไฟฟ้าทั่วโลก โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทยที่กำลังเดินหน้าสู่พลังงานสะอาด เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเมื่อระบบไฟฟ้ามีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนสูงถึง 50-70% อาจจะมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าได้
.
สำหรับประเทศไทยที่ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในอนาคต การเตรียมความพร้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งในด้านการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน (BESS), เทคโนโลยี Smart Grid, รวมถึงการปรับปรุง Grid Code และนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถรองรับการผลิตไฟฟ้าของพลังงานหมุนเวียนในสัดส่วนที่สูงขึ้นได้
.
นอกจากนี้ การขยายตัวของพลังงานหมุนเวียนยังส่งผลต่อโครงสร้างต้นทุนของระบบไฟฟ้าโดยรวม เนื่องจากความไม่แน่นอนของการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และลม อาจทำให้ต้องพึ่งพาโรงไฟฟ้าสำรองหรือระบบกักเก็บพลังงานมากขึ้น ซึ่งอาจจะพิจารณาได้เป็นส่วนหนึ่งของ Ancillary Services ซึ่งย่อมกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคง ดังนั้น นอกจากการลงทุนในเทคโนโลยีแล้ว ประเทศไทยจำเป็นต้องพิจารณาปรับนโยบายและกลไกตลาดไฟฟ้าให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงทางพลังงาน ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม และราคาค่าไฟฟ้า
.
– ดร.พิมพ์สุภา เกาะช้าง นักวิจัยชำนาญการ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ เสนอแนวทางเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าไทย ควบคู่เป้าหมายพลังงานสะอาด
.
จากเหตุการณ์ไฟฟ้าดับในยุโรป เป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนถึงความจำเป็นในการออกแบบระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคงควบคู่กับการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าก้าวสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions ได้อย่างมั่นคงในระยะยาว โดยเสนอให้มีแผน Energy Resilience Roadmap ที่ครอบคลุมการพัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุน เช่น ระบบกักเก็บพลังงานและกลไกสร้างเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า พร้อมเปิดรับทางเลือกด้านพลังงานที่เหมาะสมกับบริบทของไทย เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านอย่างปลอดภัยและยั่งยืน
.
ท้ายนี้ จากการจัดงานครั้งนี้ คณะวิศวฯ จุฬาฯ หวังว่าจากกรณีศึกษาด้านพลังงาน ความมั่นคง และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เราจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับบริบทของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

จุฬาฯ ร่วมมือช่อง 7HD ขับเคลื่อนความรู้สู่สังคม เปิดตัวรายการ “THE CRACK HUNTER หน่วยล่ารอยร้าว” ต่อยอดการสื่อสารความปลอดภัยหลังแผ่นดินไหว

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ และศูนย์สื่อสารองค์กร จุฬาฯ ร่วมกับ ช่อง 7HD เปิดตัวรายการ “THE CRACK HUNTER หน่วยล่ารอยร้าว” ณ เรือนจุฬานฤมิต โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับการตรวจสอบและซ่อมแซมอาคารหลังเหตุแผ่นดินไหว ผ่านการทำงานจริงของนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ
ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนบทบาทของมหาวิทยาลัยในการขับเคลื่อนองค์ความรู้ไปสู่สาธารณะ โดยใช้พลังของสื่อกระแสหลักเป็นเครื่องมือสำคัญ รายการ “THE CRACK HUNTER” จึงเป็นหนึ่งในหลายโครงการที่จุฬาฯ ร่วมกับพันธมิตรภายนอก เพื่อแปลงองค์ความรู้ให้เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้นอย่างเข้าใจง่าย
.
ในงานเปิดตัวได้รับเกียรติจาก ศ. ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ คุณพัฒนพงค์ หนูพันธ์ บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด (ช่อง 7HD) รศ. ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดีคณะวิศวฯ จุฬาฯ รศ. ดร.เสวกชัย ตั้งอร่ามวงศ์ รองคณบดีคณะวิศวฯ จุฬาฯ และคณะผู้บริหารจุฬาฯ เข้าร่วม พร้อมแลกเปลี่ยนแนวคิดเบื้องหลังการสื่อสารความรู้สู่สาธารณะ ผ่านตัวอย่างรายการที่จัดทำขึ้น
.
รายการ THE CRACK HUNTER หน่วยล่ารอยร้าว เป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 111 ปีแห่งการสถาปนาคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งเป็นรายการ Edutainment ที่จะนำผู้ชมเปิดโลกแห่งวิศวกรรมโยธาและการฟื้นฟูอาคารหลังภัยพิบัติ โดยทีมวิศวกรมากประสบการณ์ คณาจารย์และนิสิตวิศวฯ จุฬาฯ พร้อมทั้งมอบความรู้ที่จะนำไปปฏิบัติได้จริง และแรงบันดาลใจแก่ผู้ชม
.
ศ. ดร.วิเลิศ ภูริวัชร กล่าวว่า “ความร่วมมือในลักษณะนี้ คือหัวใจของการนำองค์ความรู้มหาวิทยาลัยออกไปสร้างประโยชน์ให้กับสังคม การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพคือเครื่องมือสำคัญที่จะสร้างความเข้าใจ ความเชื่อมั่น และการเตรียมพร้อมของประชาชนต่อภัยพิบัติหรือความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น”
.
คุณพัฒนพงค์ หนูพันธ์ กล่าวว่า “ช่อง 7HD ในฐานะสื่อมวลชน ที่ทำหน้าที่นำเสนอเรื่องราวที่ให้ประโยชน์ต่อสังคมเรายินดีอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่งรายการใหม่ที่ให้สาระความรู้เรื่องราวสถานการณ์ในปัจจุบันจากกรณีที่ประเทศไทยของเราเพิ่งผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวในหลายพื้นที่
ซึ่งเป็นองค์ความรู้จากวิศวฯ จุฬาฯ ที่นำมาใช้จริงจับต้องได้ ติดตามรับชมรายการใหม่ “THE CRACK HUNTER หน่วยล่ารอยร้าว” ผลิตในรูปแบบ Edutainment จำนวน 8 ตอน รับชมได้ทางช่อง 7HD กด 35 และทางออนไลน์ Bugaboo.TV ทุกวันเสาร์ และ อาทิตย์ เวลา 17.30-18.00 น. เริ่มวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคมนี้เป็นตอนแรก”

พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และร่วมมือมาตรฐานความเป็นกลางทางคาร์บอน มาตรฐานความยั่งยืนและมาตรฐานด้านวิศวกรรม ระหว่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย คณะวิศวกรรมศาสตร์ กับ บริษัท บูโร เวอริทัส ประเทศไทย จำกัด

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 รองศาสตราจารย์ ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ดร.วิชิต โสภิตานนท์รัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูโร เวอริทัส ประเทศไทย จำกัด ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ฯ ระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ กับ บริษัท บูโร เวอริทัส ประเทศไทย จำกัด โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.เสวกชัย ตั้งอร่ามวงศ์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คุณศราวุธ ศุภรัตนชาติพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจการรับรอง พร้อมด้วยผู้บริหาร คณาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ ผู้บริหาร บริษัท บูโร เวอริทัส ประเทศไทย จำกัด ร่วมเป็นสักขีพยาน
.
การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันในการพัฒนารายวิชา และเผยแพร่องค์ความรู้ ด้านมาตรฐานความเป็นกลางทางคาร์บอน มาตรฐานความยั่งยืน และมาตรฐานด้านวิศวกรรม ที่เหมาะสมกับการพัฒนาของกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ และเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและบูรณาการความร่วมมือในการพัฒนาและเตรียมความพร้อมให้แก่นิสิตและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสู่การพัฒนาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต

INTANIA TALK: เตรียมพร้อมและรับมือภัยพิบัติ 3 ตอน โดยคณะวิศวฯ จุฬาฯ

INTANIA TALK โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
.
เตรียมพร้อมและรับมือภัยพิบัติ 3 ตอน
– ตอนที่ 1 เตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหว: ปกป้องตัวเองและที่พัก
– ตอนที่ 2 ตรวจสอบความปลอดภัยหลังแผ่นดินไหว: ก้าวแรกสู่การฟื้นฟู
– ตอนที่ 3 วิศวกรรมโครงสร้างกับแผ่นดินไหว: เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคง
.
โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ณัฏฐ์ ลีละวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ
และรองศาสตราจารย์ ดร.ฉัตรพันธ์ จินตนาภักดี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา
หน่วยปฏิบัติการวิจัยระบบสารสนเทศการจัดการภัยพิบัติและความเสี่ยง คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
.
รับชมผ่านช่องยูทูป https://www.youtube.com/@chulaengineering3925
.
#ChulaEngineering #วิศวจุฬา #Chula #111ปีวิศวจุฬา #Intania #INTANIATALK #แผ่นดินไหว #ภัยพิบัติ

คณะวิศวฯ จุฬาฯ จัดงาน INTANIA EXPO 111 ภายใต้ธีม Intaniaverse: Survive in THE COMIC WORLD มหากาพย์วิศวกรรม พร้อมฉลองครบรอบ 111 ปี วิศวฯ จุฬาฯ

เมื่อวันที่ 28 และ 30 มีนาคม 2568 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงาน INTANIA EXPO 111 เปิดบ้านคณะวิศวฯ จุฬาฯ ภายใต้ธีม Intaniaverse: Survive in THE COMIC WORLD มหากาพย์วิศวกรรม โชว์ศักยภาพและผลงานคณาจารย์-นิสิต พร้อมฉลองครบรอบ 111 ปี
.
พิธีเปิดงาน INTANIA EXPO 111 จัดขึ้นในวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยได้รับเกียรติจาก คุณศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดพร้อมกล่าวแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 111 ปี วิศวฯ จุฬาฯ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ และ รองศาสตราจารย์ ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวรายงานภาพรวม 111 ปี คณะวิศวฯ จุฬาฯ พร้อมเปิดตัว Platform เมตาเวิร์ส “Mango”
จากนั้น คุณศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้มอบของที่ระลึกให้กับผู้สนับสนุนงาน ได้แก่ สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริษัท Sea (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ธรรมสรณ์ จำกัด (Dos) บริษัท เข็มเหล็ก จำกัด และ บริษัท ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)
.
คุณศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ ได้เยี่ยมชมพื้นที่ Zone Innovation (ปีกแห่งนวัตกรรม) ซึ่งแสดงผลงานนวัตกรรมโดยคณาจารย์และนิสิตวิศวฯ จุฬาฯ ได้แก่ เท้าเทียมไดนามิกส์คุณภาพสูง เท้าเทียมคาร์บอนไฟเบอร์มาตรฐานโลกที่ผู้พิการเข้าถึงได้ภายใต้ระบบบัตรทอง, กระดูกไทเทเนียมที่ใช้ 3D Printing ผลิตกระดูกเทียมเฉพาะบุคคล แบบแม่นยำ ปลอดภัย ได้มาตรฐาน อย. ไทยและ FDA สหรัฐฯ, SilkLife: ไหมไทยสู่นวัตกรรมชีววัสดุ ต่อยอดภูมิปัญญาไทยสู่ไฮโดรเจล ยาแผ่นแปะและฟิล์มในช่องปาก ที่ปลอดภัยและย่อยสลายได้, DeepGI ระบบ AI ตรวจจำแนกชิ้นเนื้อเสี่ยงมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร, หุ่นยนต์ Wheelchair Exoskeleton ช่วยเดินที่ออกแบบให้ผู้พิการสามารถยืน เดิน และข้ามสิ่งกีดขวางได้, DMIND แอปพลิเคชันคัดกรองภาวะซึมเศร้า ด้วยระบบ AI, Rocket CU-HAR จรวดต้นแบบจากห้องเรียนสู่รางวัลระดับโลก ด้วยเทคโนโลยีเหนือเสียงและระบบควบคุมล้ำสมัย จุดประกายฝันสู่อุตสาหกรรมอวกาศไทย, Tiger Drone หุ่นโดรนอัตโนมัติช่วยฉีดพ่นแม่นยำ, Flight Simulator, Crystallyte นวัตกรรมผลิตคาร์บอนควันตัมดอท, Viabus ติดตามรถโดยสารทั่วประเทศ เป็นต้น
.
งาน INTANIA EXPO 111 ในครั้งนี้มุ่งหวังในการสร้างแรงบันดาลในให้นักเรียนที่กำลังกำหนดเส้นทางอนาคตในการเลือกคณะและสถาบันที่จะศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาให้มองเห็นตัวตนความเป็นวิศวฯ จุฬาฯ ที่ถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาอันดับต้นของประเทศไทย เป็นคณะที่มีประวัติความเป็นมายาวนานถึง 111 ปี และได้หล่อหลอมบุคคลทรงคุณค่าและสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมมาแล้วนับไม่ถ้วน โดยภายในงาน ได้เปิดต้อนรับเหล่านักเรียนและผู้ปกครองเข้ามาสัมผัสเสน่ห์ของคณะวิศวฯ จุฬาฯ ในทุกด้าน ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่
– Exclusive Talk Inside Intania Curriculum รู้ลึกหลักสูตรวิศวฯ จุฬาฯ
– Intania Insight กิจกรรมบูธจากแต่ละภาควิชาฯ
– Intania Innovation Land ชมนวัตกรรมล้ำสมัยจากผลงานวิจัยของชาววิศวฯ จุฬาฯ
– Intania Arena ชมกิจกรรมการแข่งขันต่าง ๆ เช่น Intania Hackaton
– Intania Club บูธชมรมของคณะวิศวฯ จุฬาฯ
– Intania Arcade กิจกรรมความบันเทิงภายในงาน
– Intania Green Planet นิทรรศการแสดงข้อมูลโครงการด้านสิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด และการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อม Workshop
– Intania Shop ของที่ระลึกสุดพิเศษ และ Photo Booth
.
“INTANIA EXPO 111” ถือเป็นกิจกรรมสำคัญครั้งหนึ่งของคณะวิศวจุฬาฯ เพราะถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจจากรุ่นสู่รุ่นที่ยิ่งใหญ่ โดยเชื่อว่าคณะฯ จะสามารถเป็นจุดเริ่มต้นในการบ่มเพาะบุคลากรที่มีศักยภาพให้สามารถเติบโตไปสู้เส้นทางอาชีพที่มั่นคง และประสบความสำเร็จต่อไป พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้แก่สังคมและโลกต่อไปในอนาคต เพราะ “วิศวฯ จุฬาฯ ไม่ได้สอนให้เราแค่เก่ง แต่สอนให้เราใช้ความเก่งเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่า” คำกล่าวนี้สะท้อนถึงหัวใจของความเป็นวิศวฯ จุฬาฯ และความเชื่อมั่นในพลังของการเรียนรู้ที่มีเป้าหมายเพื่อส่วนรวม

คณะวิศวฯ จุฬาฯ ขอแสดงความยินดีกับตัวแทนนิสิตค่ายวิศวพัฒน์ ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ จากงานประชุมวิชาการประจำปีเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย ครั้ง 9 ประจำปี 2567 และการประชุมเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย ครั้ง 1/2568 ประจำปี 2568

คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอแสดงความยินดีกับตัวแทนนิสิตค่ายวิศวพัฒน์ นำโดย นายณัฐพงษ์ เมรุ นิสิตชั้นปีที่ 3 ภาควิชาวิศวกรรมเคมี นายณัฐวัฒน์ หงษ์เวียงจันทร์ นิสิตชั้นปีที่ 2 ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล และนายศุภากร ขจรเกียรตินุกูล นิสิตชั้นปีที่ 2 ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ จากงานประชุมวิชาการประจำปีเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย ครั้ง 9 ประจำปี 2567 และการประชุมเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย ครั้ง 1/2568 ประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อการแข่งขัน “มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” โดยนิสิตได้เสนอในหัวข้อเรื่อง “โครงการวิศวกรรมอาสาพัฒนาชนบท (ค่ายวิศวพัฒน์)”

พิธีเปิดโครงการ “รวมใจวิศวฯ เดิน – วิ่ง 111 ล้านก้าว”

เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดพิธีเปิดโครงการ “รวมใจวิศวฯ เดิน – วิ่ง 111 ล้านก้าว” ซึ่งเป็นโครงการที่ให้คณาจารย์และบุคลากรวิศวฯ รวมพลังเดิน-วิ่ง สะสมก้าวพิชิตภารกิจ ระยะทางรวมทั้งสิ้น 111 ล้านก้าว ในโอกาสเฉลิมฉลอง 111 ปี คณะวิศวฯ จุฬาฯ และก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ ด้วยพลังแห่งความสามัคคี มุ่งมั่นในการพัฒนาคณะฯ เพื่อความยั่งยืน โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดี เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และรองศาสตราจารย์ ดร.นภดนัย อาชวาคม รองคณบดี กล่าวถึงที่มาของโครงการฯ จากนั้น ผู้บริหาร คณาจารย์ และบุคลากรได้รวมพลังกันเดิน-วิ่งภายในจุฬาฯ
.
โครงการ “รวมใจวิศวฯ เดิน – วิ่ง 111 ล้านก้าว” จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ – 2 มิถุนายน 2568
เดิน-วิ่งที่ไหนก็ได้ – จะเป็นสวนสาธารณะ ถนน ลู่วิ่ง หรือแม้แต่ลู่วิ่งไฟฟ้า (Treadmill) ก็ได้
เดิน-วิ่งเวลาไหนก็ได้ – เลือกเวลาให้เหมาะกับตัวเอง
เดิน-วิ่งแบบเดี่ยว แบบทีมก็ได้ – สะสมไมค์มากที่สุด หรือครบ111 กม. ลุ้นรางวัล
ใช้แอปพลิเคชันบันทึกผล – ผ่านแอพพลิเคชัน Step up

 

คณะวิศวฯ จุฬาฯ ขอแสดงความยินดีแก่ รศ. ดร.จุฑามาศ รัตนวราภรณ์ และ ดร.ศรัณย์ กีรติหัตถยากร ในโอกาสที่ได้รับประกาศนียบัตรรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award ประจำปี 2568

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์เป็นประธานเปิดงานวันนักประดิษฐ์ (Thailand Inventor’s Day 2025) และพระราชทานเกียรติบัตรให้แก่ผู้ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ : รางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ รางวัลผลงานวิจัย รางวัลวิทยานิพนธ์ และรางวัลผลงานสิ่งประดิษฐ์คิดค้น ประจำปีงบประมาณ 2568 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ณ Event Hall 101 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
.
รองศาสตราจารย์ ดร.จุฑามาศ รัตนวราภรณ์ และ ดร.ศรัณย์ กีรติหัตถยากร คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับประกาศนียบัตรรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award ประจำปี 2568 จากผลงาน “แผ่นแปะโปรตีนไหมไทยควบคุมการปลดปล่อยสารสกัดจากกัญชงผ่านผิวหนัง” โดยเข้ารับประกาศนียบัตรจากคุณศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
.
ในการนี้ ศาสตราจารย์ ดร.บัญชา พูลโภคา ผู้ช่วยอธิการบดี ด้านงานพัฒนาวิจัย เป็นตัวแทนจุฬาฯ และ รองศาสตราจารย์ ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมแสดงความยินดีและมอบช่อดอกไม้แก่ รองศาสตราจารย์ ดร.จุฑามาศ รัตนวราภรณ์

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้

บันทึกการตั้งค่า